บทที่ 5 เอกภพ
เอกภพ
เอกภพวิทยาในอดีต
1.เอกภพของชาวสุเมเรียนและบาบิโลน
ชาวเมโสโปเตเมีย- อยู่บนดินแดนที่มีชื้อว่าเมโสโปเตเมีย (หรือประเทศอีรักในปัจจุบัน)
- บันทึกตำแหน่งของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ โดยให้โลกเป็นศูนย์กลาง
- บันทึกการตั้งชื่อกลุ่มดาวบนท้องฟ้า
- อธิบายการเคลื่อนที่ของดวงดาวตามความเชื่อที่ว่า เทพเจ้าปกครองโลก ท้องฟ้าและน้ำเป้นสิ่งที่เทพเจ้าบันดาล
- ให้ความหมายของเอกภพว่า "ท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆ ที่เคลื่อนที่ไปตามเวลา ตามความประสงค์ของพระเจ้า"
ชาวบาบิโลน
- วาดภาพดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และกำหนดเส้นทางการขึ้น-ตกของดาวเป็นประจำทุกวัน
- ทำนายการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ได้อย่างถูกต้อง
- ทำนายการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลได้อย่างถูกต้อง
- ทำปฎิทินแสดงวันที่และฤดูกาลได้อย่างถูกต้อง
- เอกภพเหมือนกับชาวสุเมเรียน
2.เอกภพของกรีก
- อาศัยข้อมูลจากสุเมเรียน+บาบิโลน และให้คณิตศาสตร์พัฒนาแบบจำลองของเอกภพ
- โซคราตีส ธาลีส อเล็กซิมานเดอร์ และ อเน็กซีมีนีส ให้ความเห็นว่าโลกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
- อลิสโตเติล พบว่า โลกมีลักษณะทรงกลม
- อริสตาร์คัส โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
3.เอกภพของเคปเลอร์
- โคเปอร์นิคัส ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม (ผิด)
- โยฮันเนส เคปเลอร์ (ผู้ช่วย ไทโค บราห์) เสนอ กฎเคปเลอร์ 3 ข้อ
- วงโคจรของดาวเคราะห์ เป็นวงรี (ถูก)
- เส้นตรงที่เชื่อมระหว่างดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์กวาดพื้นที่เท่าๆกันในระยะเวลาเท่ากัน
- คาบยกกำลัง 2 แปรผันตรงกับ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ยกกำลัง 3
4.เอกภพของกาลิเลโอ
- กาลิเลโอ กาลิเลอี ใช้กล้องโทรทรรศน์ ศึกษาดาราศาสตร์ พบว่า
- ผิวดวงจันทร์มีภูเขาและหลุมอุกกาบาต
- ทาวช้างเผือกที่มองเห็นเป็นผ้าขุ่น แท้จริงคือดาวฤกษ์
- ฯลฯ
- นิวตัน อธิบายว่า การที่บริวาลของดวงอาทิตย์สามารถโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้เพราะแรงโน้มถ่วง ขนาดของแรง ขึ้นกับมวล และระยะห่าง
เอกภพ (Universe)
- เอกภพมีความกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วย กาแล็กซี่ (Galaxy) ประมาณแสนล้านกาแล็กซี
- แต่ละกาแล็กซีมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง
- 1 ปีแสง คือ ระยะทางที่แสงใช้เวลาเดินทาง 1 ปี มีค่าประมาณ 9.5 ล้านล้านกิโลเมตร
- ทฤษฎีที่ใช้ในการอธิบายการเกิดของเอกภพ ได้แก่ ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory)
ทฤษฎีบิกแบง (Big Bang Theory)
- กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงของพลังงานมาเป็นมวลสารของเอกภพ
- ปรากฎมีอนุภาคพื้นฐาน ได้แก่ ควาร์ก อิเล็กตรอน นิวทริโน และ โฟตอน
- อนุภาคเหล่านี้มีปฎิอนุภาค ของมันด้วย
- หากอนุภาคใดพบปฎิอนุภาค จะหลอมรวมกันเป็นพลังงาน
- ในเอกภพมีอนุภาคมากกว่าปฎิอนุภาค จึงทำให้อนุภาคเกิดเป็นสสาร
- หลังเกิดบิกแบง 1 ไมโครวินาที อุณหภูมิลดลงประมาณสิบล้านาล้านเคลวิน
- ควาร์กรวมตัวเป็นโปรตอนและนิวตรอน
- หลังเกิดบิกแบง 3 นาที อุณหภูมิลดลงไปอีกร้อยล้านเคลวิน
- โปรตอนและนิวตรอนรวมตัวกันเป็นนิวเคลียสของไฮโดรเจนและฮีเลียมดึงอีเล็กตรอนเข้ามาเป็นวงโคจร กลายเป็นอะตอม
- หลังเกิดบิกแบงอย่างน้อย 1000 ล้านปี
- เกิดกาแล็กซี
- ภายในกาแล็กซีมีไฮโดรเจนและฮีเลียม เป็นสารเบื่้องต้นในการเกิดดาวฤกษ์
หลักฐานสนับสนุน Big Bang
การขยายตัวของเอกภพ
- Edwin Powell Hubble พบว่ากาแล็กซีทั้งหลาย เคลื่อนที่ออกจากกัน แสดงว่า เอกภพกำลังขยายตัวซึ่งเป็นผลมาจากการระเบิดครั้งใหญ่
อุณหภูมิพื้นหลังของเอกภพ
- ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 3 K พบสัญญาณรบกวนกล้องโทรทรรศน์วิทยุ สัญญาณดังกล่าวเทียบได้กับพลังงานของวัตถุดำ ค้นพบโดย วิลสันและเพนเซียส
กฎของฮับเบิล

กาแล็กซี (Galaxy)
- กาแล็กซี คือ ระบบของดาวฤกษ์ หรือ อาณาจักรของดาวฤกษ์
- เกิดขึ้นหลังจากบิกแบง ประมาณ 1,000 ล้านปี
- ประกอบด้วยดาวฤกษ์ประมาณแสนล้านดวง
- คงสภาพอยู่ได้ด้วยแรวโน้มถ่วงระหว่างดาวฤกษ์กับหลุมดำ
- มีกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง เรียกว่า เนบิวล่า
- กาแล็กซีที่เราอยู่เรียกว่า ทางช้างเผือก หรือ Milky Way Galaxy
- กาแล็กซีเพื่อนบ้าน เห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ แอนโดรเมดา แมกเจลแลนใหญ่ แมกเจลแลนเล็ก
ประเภทของกาแล็กซี
1.กาแล็กซีปกติ (Regular Galaxy)
มีรูปร่างชัดเจน ได้แก่ กาแล็กซีรี กาแล็กซีลูกสะบ้า กาแล็กซีกังหัน กาแล็กซีกังหันแบบมีคาน
2.กาแล็กซีไม่มีรูปแบบ (Irregular Galaxy)
มีรูปร่างที่ไม่แน่นอน ได่แก่ กาแลคซีแมกเจลแลนใหญ่ และ กาแล็กซีแมกเจลแลนเล็ก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น